ถ้าเปรียบเทียบกับวิชาที่นักเรียนนักศึกษาเรียนกันในปัจจุบัน การระลึกชาติก็สามารถเป็นสาขาวิชา (field of study) ได้
กล่าวกันสั้นๆ ว่า มีตำราให้เรียน มีคนเรียน มีคนสอน มีผู้เรียนทำได้จริง แต่การระลึกชาตินี้ พวกที่เป็นสาวกวิทยาศาสตร์ สมาทานวิทยาศาสตร์มากกว่าพระไตรปิฎก ลุ่มหลงมัวเมาว่าวิทยาศาสตร์เป็นความจริงที่สุดของโลก
“ไม่เชื่อ”
การไม่เชื่อของสาวกวิทยาศาสตร์นั้น ไม่ได้มีเหตุผลในทางวิชาการอย่างที่พวกนั้นกล่าวอ้างแต่อย่างใด ไม่เชื่อไปดื้อๆ ไม่เชื่อไปเฉยๆ ไม่เชื่อเพราะไม่ถูกใจของตนเองเท่านั้น
แต่คนส่วนใหญ่ที่ได้มีโอกาสเข้าเรียนในระบบโรงเรียน “เชื่อ” ไปตามคำสอนหรือเอกสารเผยแพร่จากสาวกของวิทยาศาสตร์พวกนี้
ส่วนใหญ่แล้ว เห็นว่า พวกนี้เรียนมามาก รู้มามาก ก็เชื่อตามๆ กันไป ก็ตามกันไปจนถึงนรกโน่น
ที่เขียนไปทั้งหมดข้างต้นนั้น เป็นความจริงทุกประการสามารถพิสูจน์ได้ การพิสูจน์ที่ว่านี้ พิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ด้วย
ท่านอยากจะพิสูจน์กันหรือเปล่าเท่านั้น.......
ความสำคัญของวิชชา 3 ก็คือ ถ้าไม่ผ่านวิชชานี้ ไม่สามารถจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ มีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน และไม่มีใครโต้แย้งถกเถียงกันในประเด็นนี้
ขอกล่าวถึงข้อความที่ว่า “ไม่มีใครโต้แย้งถกเถียงกันในประเด็นนี้” ก่อนว่า ผมหมายถึงอะไร?
คำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกนั้น หลายประเด็น หลายหัวข้อ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยหรือภาษาอื่นๆ แล้ว แปลไม่เหมือนกัน ความหมายแตกต่างกันออกไป ก็จึงเกิดข้อโต้แย้งถกเถียงกันว่า ของใครจริงไม่จริง
ที่ว่าของใครจริงไม่จริงก็คือ การตีความของใครถูกกว่า จริงกว่าของคนอื่นๆ เช่น นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา หรือ นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อนัตตา หรือประเด็นที่เกี่ยวกับ “สุญญตา” เป็นต้น
แต่ประเด็นที่เกี่ยวกบวิชชา 3 นี้ ไม่มีใครยกขึ้นมาโต้แย้งกัน ดังนั้น เรื่องวิชชา3 นี้ ก็ต้องถือกันว่า เป็นองค์ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้เช่นนั้นจริง
วิชชา 3 มีดังนี้
1) ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ คือ ระลึกชาติ
2) จุตูปปาตาญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วจะไปไหน
3) อาสวักขยญาณคือทำกิเลสให้สิ้นไป
เรื่องวิชชา 3 นี้ พวกที่ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด หรือพวกพระพม่าที่เชื่อว่า ปฏิบัติธรรมที่อยู่กับปัจจุบันก็สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ พวกนี้ก็ไม่ยอมกล่าวถึงวิชชา 3 เท่านั้น
แต่ไม่กล้าโต้แย้งหรือตีความให้ผิดๆ ไป เหมือนประเด็นอื่นๆ
ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์ระลึกชาติของพระองค์เองได้ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อจากนั้นก็ระลึกชาติของบุคคลอื่นๆ
เมื่อระลึกชาติในอดีตไม่ร้อยกี่ร้อยกี่อสงไขยชาติไปแล้ว ก็ยังรู้ด้วยว่า คนอื่นๆ ต่อไปจะเกิดเป็นอะไร เมื่อพระองค์ทรงผ่านวิชชา 2 วิชชานี้ไปแล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่ายต่อ “การเกิด” เป็นอย่างยิ่ง เพราะ “รู้” และ “เห็น” ได้อย่างชัดเจนแล้วว่า มีแต่ความทุกข์เป็นส่วนใหญ่
ความสุขที่มีอยู่บ้างของการเกิดในแต่ละชาตินั้น ก็เป็นความสุขที่ไม่คงที่ ไม่แน่นอน จึงสามารถทำวิชชาที่ 3 คือ อาสวักขยญาณได้ และบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ ซึ่งทำให้พระองค์บรรลุถึงความสุขที่แท้จริงในนิพพาน
วิชชา 3 ของพระพุทธเจ้าถูกละเลยไป แทบจะไม่ได้รับการกล่าวถึงโดยพุทธวิชาการในระยะ 150 ปีที่ผ่านมา
นอกจากพุทธวิชาการละเลยและไม่อยากที่จะกล่าวถึงแล้ว กระบวนการทางวิชาการอื่นๆ ก็ทำให้วิชชา 3 เป็นเรื่องเหลวไหลในทางวิชาการไปอีกด้วย
พุทธวิชาการที่มีจิตใจสยบยอมต่อศาสตร์ตะวันตก เช่น วิทยาศาสตร์กับปรัชญา จึงหันไปชูหัวข้อธรรมะอื่นๆ เช่น "อนัตตา" หรือ "กาลามสูตร" เป็นต้น เพื่ออธิบายให้เป็นคำสอนสำคัญของพุทธศาสนาขึ้นมาแทน
สาเหตุก็เพราะพุทธวิชาการเหล่านั้น เห็นว่า วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเป็นความจริง (truth) มากกว่าศาสนาพุทธ
วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาเพียงชาติเดียวเท่านั้น ใจ/จิต/วิญญาณไม่มี
สิ่งที่ศาสนาพุทธยืนยันว่าเป็นใจ/จิต/วิญญาณนั้น นักวิทยาศาสตร์เก่าเห็นว่าเป็นปฏิกิริยาทางเคมีของสมองเท่านั้น
พุทธวิชาการก็เชื่อตาม จึงไม่เต็มใจหรือไม่กล้าที่จะเขียนถึง "หัวใจหลัก" หรือวิชชา 3 ซึ่งอธิบายถึงการระลึกชาติของศาสนาพุทธ
แต่ในปัจจุบันนี้ นักฟิสิกส์ใหม่เชื่อว่า ถ้าสามารถสร้างยานพาหนะที่มีความเร็วใกล้ๆ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ซึ่งก็คือ ความเร็วของแสง มนุษย์สามารถจะเข้าไปในอดีตได้โดยกายเนื้อของเราทีเดียว
แนวความคิดดังกล่าวนั้น นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเห็นว่า "เป็นไปไม่ได้"
ในประเด็นนี้ ผมเองก็เห็นด้วยกับนักวิทยาศาสตร์เก่า เพราะ การที่จะกลับไปในอดีตด้วยกายเนื้อนี่ มันก็ยังพอรับได้ แต่เราสามารถไปเจอญาติพี่น้อง ปู่ย่าตายายในยุคนั้น
มันขัดกับหลักของศาสนาพุทธ
ก็เราเผาพวกนั้นไปแล้ว ร้องไห้ไปแล้วเห็นๆ ถ้ากลับไปเจอกันจริงๆ ผมว่า คงไม่เหมือนหนังฝรั่งหลายเรื่องที่มีโครงเรื่องแบบนี้
คงเหมือนหนังชุด “ปอบ” ทั้งหลายมากกว่า คือ คงวิ่งกันป่าราบเป็นป่าๆ ไป
อย่างไรก็ดี การคิดทบทวนไปมาในประเด็นที่ขัดแย้งกันระหว่างวิทยาศาสตร์เก่ากับฟิสิกส์ใหม่ ในประเด็นการเข้าไปในอดีต ทำให้ผมเห็นว่า ถ้าสามารถสร้างยานพาหนะที่มีความเร็วใกล้แสงได้จริงๆ ตามทฤษฎีของฟิสิกส์ใหม่ต่างๆ เช่น ทฤษฎีสัมพัทธภาพ เป็นต้น
นักฟิสิกส์ใหม่ก็สามารถจะเห็นอดีตได้หรือระลึกชาติได้นั่นเอง.......
คนละประเด็นการขี่ยานความิร็วเกนืออสงไปดักปน้าแสงในอเตจะเห็รเกตุการณ์ในอดีตได้แต่ไม่ใช่ตัวเงดลับชาติมาเกิด ต้วเองยังอยู่ชาติปัจจุบัน แต่เห็นเหตุการณ์ในอดีตได้เหมือนดูวิดีโอย้อนหลัง ไม่ใช่กลับชาติมาเกิด
ตอบลบบทความนี้ เขียนถึงเรื่องการ "ระลึกชาติ"
ลบ