บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ระลึกชาติแบบฟิสิกส์ใหม่[02]

ในบทความ “ระลึกชาติแบบฟิสิกส์ใหม่[01]  ผมได้กล่าวไปแล้วว่า การระลึกชาตินั้นเป็นวิชชาสาม  สามารถทำได้จริง ตอนนี้นักฟิสิกส์เขามีความเชื่อว่า เขาสามารถจะเข้าไปในอดีตได้ด้วยกายเนื้อของเขา และสามารถเข้าไปพูดคุยกับคนในยุคนั้นๆ ได้ด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงในทางวิทยาศาสตร์นะครับ  ไม่ใช่เป็นเพราะในหนังฮอลลีวู้ด  หนังทำนองนี้ นำเอาทฤษฎีของนักฟิสิกส์ใหม่มาต่อเติมให้เป็นหนัง

ต่อไปจะกล่าวถึง ประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับองค์ความรู้เรื่องการย้อนเวลาเข้าไปในอดีตของนักฟิสิกส์ใหม่

ถ้าเราทำให้ปู่ตายโดยบังเอิญ เราจะได้เกิดหรือไม่

ข้อความที่ว่า "ถ้าเราทำให้ปู่ตายโดยบังเอิญ เราจะได้เกิดหรือไม่" เป็นข้อความที่เป็นประเด็นถกเถียงกันของนักฟิสิกส์ใหม่

เป็นปัญหา Paradox  ไม่รู้จะแปลเป็นภาษาไทยอย่างไรดี

นักฟิสิกส์ใหม่เขาตั้งธงคำถาม เพื่อการถกเถียงสร้างสรรค์กันว่า

ในกรณีที่เราสามารถเข้าไปในอดีตได้  และในกรณีใดๆ ก็ตาม  ไปทำให้ปู่ของตนเองตาย  มันก็จะเกิดข้อขัดแย้ง (Paradox) กับสภาพความเป็นจริงที่ว่า  ตนเองเกิดมาแล้ว มีตัวมีตนแล้ว  แต่ดันทะลึ่งไปเที่ยวในอดีต แล้วทำให้ปู่ตาย

เมื่อปู่ตาย พ่อก็จะเกิดมาไม่ได้ เมื่อพ่อไม่ได้เกิด  ตัวเราเองจะเกิดมาได้อย่างไร

ความคิดในย่อหน้าที่ผ่านมานั้น  ถ้าไม่คิดอะไรมาก อ่านเผินๆ ดูแล้ว น่าจะเป็นความคิดของคนที่สติแตกไปแล้ว ในมุมมองของคนหลายๆ คน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว  กลับเป็นความคิดของนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของโลกในปัจจุบัน ที่เห็นสอดคล้องกันด้วย  และมีเป็นจำนวนมากด้วย ไม่ใช่เพียงคนสองคน

มีนักข่าวไปสัมภาษณ์ ดร. มิชิโอะ คากุ ว่า "มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่คนเราจะสามารถเข้าไปในอดีตได้

เจ้าของคำถามนั้น หมายถึงว่า เข้าไปในอดีตได้ด้วยกายเนื้อ โดยใช้ยานพาหนะเข้าไป  ไม่ใช่ใช้วิธีระลึกชาติแบบศาสนาพุทธ

ดร. มิชิโอะ คากุ เป็นชาวญี่ปุ่น  เป็นนักฟิสิกส์ใหม่  เชี่ยวชาญมากในเรื่องกลศาสตร์ควอนตัม ทฤษฎีสตริง (String theory) 

จากคำถามดังกล่าว  ดร. มิชิโอะ คากุ ตอบว่า "ด้วยความรู้ของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน  ไม่สามารถบอกได้ว่า ความคิดเช่นนั้นผิด"  

อธิบายให้ง่ายๆ หน่อยก็ว่า  การเข้าไปในอดีตทั้งกายเนื้อนั้น  เป็นไปได้ ในมุมมองของนักฟิสิกส์ใหม่

จูเลียส ซีซาร์ต้องตายอีกแบบนับครั้งไม่ถ้วน

ประเด็นที่ว่า เราสามารถเข้าไปในอดีตได้ ด้วยกายเนื้อนี่  ถ้ามียานพาหนะที่มีความเร็วสูงๆ ใกล้กับความเร็วแสง และนักฟิสิกส์เห็นว่าเป็นไปได้  ซึ่งขณะนี้ก็มีนักฟิสิกส์ใหม่พยายามสร้างเครื่องที่ว่าอยู่นั้น 

นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน ยืนยันแบบหัวชนฝาเลยว่า "เป็นไปไม่ได้"

อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไม่มีข้อโต้แย้งอย่างเป็นวิชาการ  เพราะ องค์ความรู้ส่วนใหญ่ของตนเอง  ถูกฟิสิกส์ "อัด" ซะเดี้ยงไปหมดทุกอย่าง 

ก็เลยเถียงแบบข้างๆ คูๆ ว่า  "ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีคนต้องการดูบรูตัสแทงจูเลียส ซีซาร์ จูเลียส ซีซาร์ก็ต้องมาตายอีกหลายครั้งหลายหน ตามความต้องการของคนดู อย่างนั้นซิ"

จะเห็นว่า  ข้อโต้แย้งของนักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไม่ได้เป็นไปตามหลักวิชาการเลย

อันที่จริงก็น่าสงสารนักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเหมือนกัน เพราะ ไม่รู้ว่าจะเอาหลักวิชาการอันไหนไปโต้แย้ง  เนื่องจาก วิชาการของนักฟิสิกส์ใหม่มันก้าวหน้าไปกว่าวิชาการของนักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอนอย่างไม่เห็นหน้าเห็นหลัง

นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอน เชื่อว่า แสงเดินทางเป็นเส้นตรง  มันก็เป็นเช่นนั้นจริงเฉพาะในโลก แต่นักฟิสิกส์ใหม่ค้นพบว่า แสงในจักรวาลเดินทางเป็นเส้นโค้ง

นี่ก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนและหนักแน่นว่า ความจริงของวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอนมันแคบกว่าความจริงของฟิสิกส์ใหม่ 

นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอน เชื่อว่า เวลาของคนทุกคนนั้นคงที่  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  อันนี้ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่ง

นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอนเขารู้ว่า เวลาของโลกไม่เท่ากัน เพราะ นักวิทยาศาสตร์ชุดนี้เขากำหนดเส้นแบ่งเวลาเอง 

แต่เมื่อเวลาถูกกำหนดไปแล้ว เวลาจะคงที่ตลอดไป

นักฟิสิกส์ใหม่ค้นพบว่า เวลาของคนทุกคนและสิ่งทุกสิ่งเดินไม่ตรงกัน  ขึ้นอยู่กับความเร็วกับแรงโน้มถ่วง

ความรู้นี้ นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอนผิดโดยสิ้นเชิง แต่ก็สามารถยอมรับว่า “ถูก” ได้เหมือนกัน  เพราะ เวลาของทุกคนในโลก ขณะที่ดำเนินชีวิตกันตามปกตินั้น

มันแตกต่างกันอย่างวัดไม่ได้ ด้วยเครื่องมือของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน 

เราสามารถวัดได้คร่าวๆ แบบศาสนาพุทธ ดังนี้

ไอน์สไตน์เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพและผู้ที่บอกว่า เวลาของคนทุกคนเดินไม่เท่ากันนั้น ยืนยันได้ว่า ร่างกายของคนเราถือว่าเป็น “นาฬิกาชีวภาพ” อย่างหนึ่ง

ในทางฟิสิกส์ใหม่ ถ้าเราอยากมีอายุน้อยลง  เราก็ต้องลงทุนกันมากหน่อย คือ ต้องสร้างยานอวกาศของเราเองให้ได้  เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็ต้องเดินทางด้วยความเร็วใกล้ๆ แสง 

อายุเราก็จะน้อยลง  แต่ก็ต้องแลกด้วย เงินและแรงจำนวนมาก

ในทางพุทธเรา ถ้าอยากอายุน้อยกว่าคนอื่น เราต้อง “หยุด”  นี้ตรงกันข้ามกับฟิสิกส์ใหม่เลยทีเดียว 

ฟิสิกส์ต้องเคลื่อนที่ให้เร็วใกล้ความเร็วแสง  ศาสนาพุทธต้อง “หยุด” หยุดได้มากเท่าไหร่ อายุเราก็น้อยลงมากเท่านั้น

สังเกตได้จาก “ผู้ที่ปฏิบัติธรรม” มากๆ 

พระธิเบตอายุประมาณ 60-70 ปี  ถูกนักวิทยาศาสตร์จับตรวจร่างกาย ปอด ไต ไส้ พุง  อย่าไปคิดเปรียบเทียบกันศรีธนญไชยผ่าท้องน้องชาย นักวิทยาศาสตร์เขามีเครื่องมือของเขา

ปรากฏว่า ร่างกายของพระธิเบตมีอายุประมาณ 40 ปีเท่านั้น

เป็นเพราะเหตุใด?

นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่นักฟิสิกส์เขาพบว่า “ออกซิเจน” มันเป็น “ตัวการ” สำคัญที่ทำให้เกิดอายุ (aging)

ท่านผู้ใดบริโภคออกซิเจนมาก ก็แก่เร็ว  ท่านผู้ใดบริโภคออกซิเจนน้อยก็แก่ช้า

เต่าถึงอายุยืนเป็นพันปี เพราะ หัวใจเต้นช้ามาก  หัวใจเต้นช้าก็คือ การบริโภคออกซิเจนน้อย

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมนั้น ในช่วงปฏิบัติธรรมอยู่ บริโภคออกซิเจนน้อยมาก  จึงทำให้แก่ช้า

ก่อนจบบทความนี้ ขอเล่าประสบการณ์ของตัวเองนิดหนึ่ง เพื่อเป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ

ยุงมันกินเลือดเราได้ เพราะ มันตามคาร์บอนไดออกไซด์  หลายๆ ครั้งเมื่อนั่งสมาธิไปนานๆ ลมหายใจเราก็เบาลงๆ จนเหมือนกับไม่หายใจ ลมหายใจมันไหลเข้าออกเอง เพราะ หัวใจเต้นน้อยลง

ไอ้ยุงมันตามหาคาร์บอนไดออกไซด์ของมัน  ออกซิเจนออกน้อยลง คาร์บอนไดออกไซด์มันก็ออกน้อยลงด้วย
พี่ยุงท่านบินเข้าจมูกเลยครับ  สำลักเลย...บ่อยครั้งมากที่เป็นอย่างนี้

ว่าจะเขียนเรื่อง การระลึกชาติของฟิสิกส์ใหม่  กลับมาจบเรื่องยุงได้อย่างไรก็ไม่รู้............



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น