บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ระลึกชาติแบบฟิสิกส์ใหม่[04]

เมื่อผมลงบทความนี้ไว้ที่ gotoknow มีคนเข้ามาให้ความเห็น ดังนี้

คนแรกคือคุณ เจมส์ [IP: 125.26.114.224] 22 พฤษภาคม 2552 14:11 ได้มาให้ความเห็น ดังนี้

ตามหลักฟิสิกส์ใหม่ เราสามารถย้อนอดีตได้ด้วยกายละเอียดหรือจิตของเรา เพียงแต่เราทำให้จิตเราสงบโดยการนั่งสมาธิก็จะทำให้พลังงานของจิตลดลง

ซึ่งตามหลักทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอสไตน์ พลังงานสามารถสามารถเปลี่ยนเป็นมวลและมวลสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงาน

เมื่อพลังงานลดลงมวลก็ลดลง แสดงว่าจิตเราเริ่มไม่ยึดติดกับวัตถุ ทำให้เราเริ่มย้อนอดีตได้ตามทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษของไอสไตน์

นั่นคือจิตเราเร็วกว่าแสงสามารถฝ่ามิติกำแพงเวลาในตอนก่อนเกิดได้ทำให้เรา ระลึกชาติได้ จากการฝึกจิต

ผมได้ตอบคำถามของคุณเจมส์ไป ดังนี้ (24 พฤษภาคม 2552 22:27)

คุณเจมส์

ในทางศาสนาพุทธ การเอากายละเอียดเข้าไปในอดีต เราไปดูไปศึกษาเฉยๆ นะครับ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย แต่ ความเชื่อในทางฟิสิกส์นั้น นักฟิสิกส์ใหม่เชื่อว่า เราสามารถเข้าไปในอดีตยุคนั้นๆ ได้จริงๆจึงมีคำกล่าวของนักฟิสิกส์ใหม่ว่า ถ้าเราบังเอิญไปฆ่าปู่เราตาย เราจะได้เกิดหรือไม่

จะเห็นว่า ความเชื่อของนักฟิสิกส์ใหม่กับความเชื่อของศาสนาพุทธนั้น ขัดกัน ในทางพุทธศาสนา อดีตเราสามารถรับรู้ได้เหมือนดูหนัง

ในทางวิชาการ เราจึงไม่สามารถนำ 2 องค์ความรู้ดังกล่าวมาบูรณาการกันได้

คนต่อมาคือ คุณเพจ [IP: 118.173.0.18] 19 กันยายน 2552 13:22 เข้ามาแบบแปลกๆ ดังนี้

1.ทำหลังเที่ยงคืนเท่านั้น
2.จุดธูปไว้หัวนอน3ดอก
3.นอนหลับตาแล้วตั้งสมาธิให้ดี
4.นึกถึงที่ๆเราจะไปเปนอันดับแรก
5.กลั้นหายใจ10วินาที
6.จาดนั้นคุณก้อจะไปในที่ที่คุณต้องการ
7.เมื่อคุณรูสึกว่ากลิ่นธูปเริ่มหายไปให้มองหาแสงสีขาวแล้วเดินเข้าไป
8.ถ้าคุณกลับไปไม่ทันคุณจะกลับไปไม่ได้อีกเลย
9.ถ้าทำเกิน2ครั้งอายุของคุณจะสั้นครั้งละไป99วัน

ใครที่อ่านแล้วคิดดูให้ดีน่ะถ้าอยากจะสนุกก้อต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนและนั่นก้อหมายถึงชีวิตของคุณเองนั้นแหละได้มาจากคัมภีย์เขมรโบราณ

คำเตือน ผู้ใดที่อ่านแล้วต้องนำไปโพสต่ออีก 5 ครั้งไม่งั้นอีก 7 วันต่อไปคุณจะมีอันเป็น ไปมีเรื่องของการถอดวิญญาณเพื่อออกจากร่างและคุณจะไปได้ทุกที่ๆ ต้องการ

ขอโทษนะ คือเราไปอ่านกระทู้มา เจอแล้วกลัวอ่ะ

ตอนนี้ ผมคงยังอารมณ์ดีอยู่ คนมีความเชื่อแบบนี้ มาอ่านบทความของผมได้อย่างไร ผมก็ตอบไป ดังนี้ (20 กันยายน 2552 10:09)

สำหรับคุณเพจ

ถ้าจะมีคนไหนก็ตามอ่านจดหมายลูกโซ่แล้วไม่ทำตาม ก็คงจะมีคนตายไปแล้วเป็นล้านๆ คน รวมถึงตัวผมด้วย

ที่คุณไปนำมาจากคัมภีร์เขมรโบราณนั้น ผมไม่กล้ายืนยันว่า มันจะเป็นจริงหรือไม่ เนื่องจากผมเชื่อตามทฤษฎีของคาร์ล ปอปเปอร์ที่ว่า "ความรู้ใดๆ ก็แล้วแต่ ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าผิด ก็ต้องยอมรับไว้ก่อนว่า อาจจะเป็นความจริงก็ได้"

แต่พูดในหลักวิชาการเช่นเดียวกัน ตามพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าของเราเป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดในจักรวาลธาตุ จักรวาลธรรมอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่เห็นจะต้องไปนำความเชื่อจากคัมภีร์ใดๆ ที่ยอมรับไม่ได้ในทางวิชาการมาศึกษาอีก

ศึกษาเพียงพระไตรปิฎกของเราก็น่าจะพอแล้ว ขนาดพระไตรปิฎกชุดเดียวกัน ยังเถียงกันไม่จบอยู่แล้ว

คนต่อมา แกน่าจะทำฝนเทียมได้ คือ คุณคนเคลื่อนเมฆ [IP: 69.15.164.50] 22 ตุลาคม 2553 22:41 ได้เข้ามาแปลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดังนี้

ผมผ่านเข้ามาอ่านบทความของท่าน อ่านแล้วต้องขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

1. การระลึกชาติไม่ใช่องค์ความรู้ที่สำคัญของพระพุทธศาสนา เพราะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในการบรรลุมรรค ผล นิพพาน และวิชชาทั้งสอง ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอาสาวักขยญาณ ผู้ที่จะบรรลุมรรคผล ไม่จำเป็นต้องได้วิชชาทั้งสองก่อน และวิชชาทั้งสองนั้นเป็นอภิญญาญาณ

พระอรหันต์ที่เป็นแบบสุขวิปัสโก ซึ่งท่านจะบรรลุมรรคผล โดยไม่ได้อภิญญาญาณใดเลยก็ได้ ให้ศึกษาประวัติพระอรหันต์ในพุทธกาล ที่ฟังและพิจารณาธรรมตามคำสอนพระพุทธองค์แล้วบรรลุมรรคผล

และแม้พระอรหันต์ในปัจจุบันก็ไม่ได้เน้นสอนเรื่องของการระลึกชาติ เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับการบรรลุมรรคผล นิพพาน และพระอรหันต์บางรูปที่ท่านระลึกชาติได้ ท่านก็เพียงแต่พูดถึงอดีตชาติ หรือ การเวียนว่ายตายเกิดว่า เป็นความจริงอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ และคนฟังถึงแม้ระลึกชาติไม่ได้ พิจารณาทุกข์ สมุทัย และทำมรรคให้พร้อมแล้ว ก็บรรลุมรรค ผล นิพพานได้

2. พระปัญญาที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์ไม่ได้เกิดจากการรู้ การเห็นวิชชา ทั้งสองนี้ เป็นพระปัญญาที่ทรงรู้ ทรงเห็นทุกข์ ในชาติที่ทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั่นแหละครับ

และทรงพิจารณาอยู่ก่อนแล้ว ถ้าจะวิเคราะห์เอาเรื่องอภิญญาญาณทั้งสองวิชชามาเกี่ยวกับพระพุทธองค์นั้น ก็อาจเป็นเพียงคุณลักษณะพิเศษของการเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะต้องมีความรู้เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ จึงทำให้มีพร้อมทั้งอภิญญาญาณ และความรู้ ความเห็นในวิชชาทั้งสองนั้น ก็เป็นเพียงหลักฐานยืนยันเรื่องของการเวียนว่าย ตาย เกิด แต่ถ้าขาดซึ่งปัญญาแล้ว อภิญญาความรู้นี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะความรู้นี้ในศาสนาอื่นก็อาจมีได้

3. เหตุที่คนไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจจะเพราะเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก และครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติก็ไม่ได้เน้นความสำคัญของวิชชาทั้งสองนี้ ก็เพราะเหตุผลตามข้อ 1 และข้อ 2 (เรื่องการระลึกชาติ และอาสาวักขยญาณ ให้ลองเข้าไปศึกษาในหนังสือ จุดประกายแห่งปัญญา http://kpyusa.org/?page_id=71)

4. จากความเห็นที่ว่า "เราสามารถเข้าไปในอดีตได้ด้วยการปฏิบัติธรรม โดยจะมีลักษณะคล้ายๆ กับการดูภาพยนตร์ เราไม่มีทางที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วได้" นั้น ผมคงตอบตามความเชื่อว่า เราคงนั่ง "ดู" อดีตได้เท่านั้น ไม่ใช่เอาตัวหรือจิตเข้าไป "ในอดีต"

การดูอดีตก็เหมือนเช่นที่เรานั่งดูหนังหรือเหตุการณ์ในอดีตถูกบันทึกไว้ในฟิลม์ หรือในรูปดิจิตอล เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตได้ ไม่ใช่ถอยหลังเข้าไปอยู่ในอดีต ทำเหมือนว่า ที่เราอยู่ปัจจุบันเป็นมิติหนึ่ง และเหตุการณ์ในอดีตเป็นอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้น และมีอยู่พร้อม ๆ กัน

และการระลึกชาติของพระพุทธองค์นั้น เราก็ไม่รู้ว่า พระองค์ดูเหตุการณ์เหล่านี้จากที่ไหน เรื่องอดีตชาติของพระองค์หรือตัวเราเอง อาจจะดูได้จากจิตของเราที่บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เอาไว้เอง แต่การระลึกชาติเรื่องของคนอื่นอาจจะต้องดูจากที่อื่น อาจจะมีฐานข้อมูลนี้อยู่ในธรรมชาติ แต่ขึ้นอยู่กับปัญญาบารมีของแต่ละคน ว่าใครจะสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้

เหมือนอย่างที่ทุกวันนี้ อินเตอร์เน็ตเป็นฐานความรู้ที่สำคัญของโลก ย่อมขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความรู้ ความสามารถของคนใช้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นแนวคิดที่จะสร้างยานเจาะเวลาหาอดีต และคิดจะไปเปลี่ยนอดีตนั้น ก็คิดเอาเองว่า มันสมเหตุ สมผลหรือเปล่า

คุณคนเคลื่อนเมฆเขียนไว้หลายเดือนกว่าผมจะเข้าไปพบ และตอบไว้ดังนี้ (08 มิถุนายน 2554 06:31)

เรียน คุณคนเคลื่อนเมฆ [IP: 69.15.164.50]

1) คุณคนเคลื่อนเมฆ คุณจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรือไง พระพุทธองค์ทรงสอนว่า พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะวิชาสาม

คุณไปเชื่อพระพม่าที่มั่วๆ หาเรื่องใส่ตัว  เราต้องยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดคำสอนของพระที่ไปเชื่อ "สิ่งอื่น" มากกว่าพระไตรปิฎก

2) มั่วแล้วคุณ

3) พระพม่าไม่ได้ให้ความสนใจในวิชานี้ จึงทำให้ประชาชนพม่าไม่ได้รับความรู้ที่ถูกต้องไปด้วย

ผมไม่รู้เหตุผลว่า พระพม่าทำไมคลั่งไคล้เฉพาะ "สติปัฏฐานสูตร" คิดว่าปฏิบัติธรรมแค่พิจารณาอิริยาบถใหญ่กับอิริยาบถย่อยก็ทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้ และเชื่อว่า บรรลุได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เสียด้วย

พระพม่าสอนอย่างนั้นมาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้ว ยังไม่เห็นมีใคร "ใกล้" ความเป็นอริยบุคคลแม้แต่คนเดียว พวกสาวกพระพม่าก็เชื่อตาม แบบปราศจากปัญญา พระโชดก พระมหาสีสะยาดอว์ ไม่ได้ไปสุคติภูมินะคุณ

อยากจะตามไปอยู่ด้วยกันหรือไง

สำหรับข้อเสนอที่คุณเสนอให้ไปอ่านที่ใดๆ ผมไม่รับหรอก ผมเก่งพอสมควรแล้ว อ่านมาพอสมควรแล้ว

4) ผมว่าคุณไปอ่านข้อเขียนผมใหม่อีกสัก 20 ครั้ง แล้วมาให้ความเห็นใหม่ดีกว่า

ตั้งแต่นั้นมา คุณคนเคลื่อนเมฆก็หายไปกับเมฆก้อนนั้น มิกลับมาอีกเลย......



ระลึกชาติแบบฟิสิกส์ใหม่[03]


บทความนี้ จะเข้าถึงวิชชาสาม เครื่องมือเข้าไปในอดีตของพุทธศาสนาเสียที หลังจากที่อารัมภบทมานาน

การเข้าไปรับรู้เหตุการณ์ในอดีตเป็นหลักการสำคัญของศาสนาพุทธ เพราะ ถ้าเราไม่รู้ว่า เราเกิดมาแล้วนับภพนับชาติไม่ถ้วน  ทุกข์เป็นประจำ สุขบ้าง ก็เป็นสุขปลอมๆ ไม่ถาวร แล้วเราก็รู้ด้วยว่า  ถ้าไม่หาหนทางออกไปจากสังสารวัฏนี้  เราก็ต้องเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วนเหมือนกัน

การรู้อย่างนั้น ทำให้เราเกิดความเบื่อหน่ายใน การเกิด”  ดังนั้น ถ้าระลึกชาติไม่ได้ ก็ไม่สามารถจะบรรลุพระอรหันต์ได้

การระลึกชาตินั้น ต้องทำตามวิชชา 3 คือ

1) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ การระลึกชาติของตนเอง

การระลึกชาตินี้ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็สามารถทำได้ แต่มีข้อจำกัดคือ ระลึกไปได้ไม่กี่ชาติ  ถ้าเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธองค์ทรงสามารถระลึกชาติได้ไม่จำกัด

2) จุตูปปาตญาณ
จุตูปปาตญาณ คือการระลึกชาติของคนอื่น

3) อาสวักขยญาณ
พอผ่าน 2 วิชชาแรกไปแล้ว  จึงสามารถทำวิชชาที่ 3 ได้  ผลก็ทำให้กิเลสหมดสิ้นไป จึงบรรลุพระอรหันต์ได้

ตรงนี้ขอย้ำอีกสักหน่อยว่า  การโฆษณาชวนเชื่อที่เกินจริงของสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปที่ว่า  การปฏิบัติธรรมแบบของตนเองเป็นวิปัสสนา  และเป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุพระอรหันต์ได้นั้น  "ไม่จริง"

ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานต่างก็เป็นพื้นฐานของให้วิชชาสามทั้งสิ้น  และการปฏิบัติธรรมสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปก็ไม่ได้เป็นวิปัสสนา/เห็นแจ้ง  เพราะ ทั้ง 2 สายนั้นปฏิบัติได้เพียงบางส่วนของสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นอนุปัสนา/ตามเห็นเท่านั้น

จะเห็นได้ว่า ในขณะที่นักฟิสิกส์พยายามสร้างเครื่องมือกันขนานใหญ่  แล้วก็ไม่รู้ว่าอีกกี่พันปีจะสร้างสำเร็จ  หรืออาจจะไม่สำเร็จเลยก็เป็นได้

ศาสนาพุทธสามารถทำได้มาได้ตั้งนานแล้ว  ถ้านับเอาศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้าไปด้วย  ก็จะพบว่า  พื้นที่ที่เป็นอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน มีคนสามารถเข้าไปในอดีตได้มานานแล้ว  แต่เข้าไปด้วยกายละเอียด ไม่ใช่กายเนื้อแบบฟิสิกส์ใหม่

ถ้านักฟิสิกส์ใหม่ทำได้จริงๆ นักฟิสิกส์ใหม่จะระลึกชาติได้อย่างไร?

ในกรณีที่นักฟิสิกส์ใหม่สามารถสร้างยานพาหนะที่มีความเร็วใกล้ความเร็วของแสง ได้จริงๆ  นักฟิสิกส์ใหม่เชื่อว่า ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Relative theory) ของไอน์สไตน์ (Einstein)  จะทำให้พวกตนเข้าไปในอดีตได้นั้น 

ผมเห็นสอดคล้องกับนักวิทยาศาสตร์เก่าว่า ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน

ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์โต้แย้งอย่างไม่มีหลักวิชาการ  สำหรับผมเองโต้แย้งโดยหลักการจากทางศาสนาพุทธว่า

เราสามารถเข้าไปในอดีตได้ด้วยการปฏิบัติธรรม  โดยจะมีลักษณะคล้ายๆ กับการดูภาพยนตร์  เราไม่มีทางที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วได้

บุคคลต่างๆ ตัวละครต่างๆ ต่างก็เป็นอนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตากลายสภาพเป็นอย่างอื่นไปหมดแล้ว

สำหรับในกรณีที่นักฟิสิกส์ใหม่อย่างจะเห็นอดีตจริงๆ  ก็ต้องขับยานอวกาศออกไปจากโลกแล้วใช้กล้องส่องดูหรือบันทึกเหตุการณ์ไว้เท่านั้น

ขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้

ในทุกๆ วัน ที่เรามองเห็นดวงอาทิตย์นั้น พึงระลึกไว้ว่า ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน แต่เป็นดวงอาทิตย์ในอดีตที่ 8 นาทีกว่านิดๆ มาแล้ว  เพราะ แสงของดวงอาทิตย์เดินทางมาถึงโลกประมาณ 8 นาทีกว่านิดๆ

ในกรณีที่นักดาราศาสตร์เห็นการระเบิดของซูเปอร์โนวา (Super nova)  ก็ไม่ใช่การระเบิดในปัจจุบันนี้ แต่อาจจะเป็นการระเบิดเมื่อหลายพันล้านปีแสงมาแล้วก็ได้  ซึ่งระยะทางที่ว่านี้  เกินจินตนาการของมนุษย์ว่า มันจะยาวนานขนาดไหนเลยทีเดียว

จากหลักการดังกล่าว  ถ้าอยากจะเห็นเหตุการณ์ที่คุณบรูตัสแทงคุณจูเลียส ซีซาร์ก็ต้องขับยานอวกาศที่ว่า ออกไปในระยะที่สามารถส่องกล้องมาดูเหตุการณ์ในสมัยกรีกช่วงนั้นได้

ซึ่งจะห่างเป็นระยะทางเท่าใดนั้น   ขอให้เป็นภาระของนักฟิสิกส์ใหม่ก็แล้วกัน  ผมมิอาจเอื้อมไปคำนวณแทนท่านได้

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น  ถ้าอยากจะดูเหตุการณ์ที่โลกเกิดขึ้นมา  ก็ยังทำได้เลย  ก็เพียงขับยานพาหนะที่ว่า ให้ห่างจากโลกประมาณ 5000 ล้านปี  เมื่อส่องกล้องมาดู ก็จะเห็นการเกิดของโลกได้

หลักการดังกล่าวนั้น  เมื่อผมนำไปขยายความให้คุณมอมแมม เพื่อนของผมฟัง  คุณมอมแมมถามเชิงปรัชญาขึ้นมาว่า "แล้วจะใช้จะใช้กล้องแบบไหน"

จะเอากล้องแบบไหนบันทึกเหตุการณ์

ด้วยความอับสนจนปัญญาที่จะตอบคำถามอันลึกซึ้งของคุณมอมแมม

ผมก็ตอบไปว่า "ถ้านักฟิสิกส์ใหม่ เขาสามารถสร้างยานที่มีความเร็วสูงจนเท่าเกือบๆ ความเร็วแสงได้  ไม่ต้องไปห่วงเรื่องกล้องหรอก นักฟิสิกส์ใหม่ เขาต้องทำได้แน่ๆ"

สำหรับผมเองนั้น  ขอทำนายไว้ล่วงหน้าเลยว่า ต่อไปการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะต้องมีเครื่องมือที่สามารถบันทึกเป็น 3 มิติได้  อาจจะใช้หลักการของทฤษฎีอะไรก็ตาม  และเมื่อจะนำมาฉายให้ดู ก็สามารถฉายเป็นภาพ 3 มิติให้เห็นกันจะๆ  โดยไม่ต้องใช้จอแบบปัจจุบันนี้ก็แล้วกัน

สรุป

เมื่อพิจารณาหลักทฤษฎีของฟิสิกส์ใหม่ จะเห็นว่า นักฟิสิกส์ใหม่สามารถจะเข้าไปในอดีตได้  แต่ไม่ใช่ในลักษณะที่นักฟิสิกส์คิดอยู่ในปัจจุบันนี้ กล่าวคือ การเอากายเนื้อเข้าไปในอดีต แต่จะทำได้ในลักษณะที่ว่า ขับยานพาหนะที่มีความเร็วใกล้แสงออกไปจากโลก ให้มีระยะทางที่จะเห็นเหตุการณ์ในช่วงระยะเวลาที่ต้องการรู้ต้องการเห็น

ความคิดที่จะเข้าไปในอดีตซึ่งเป็นความรู้ใหม่ที่ยังทำไม่ได้ของนักฟิสิกส์ใหม่นั้น  บุคคลในยุคสองพันกว่าปีมาแล้ว ในเขตประเทศอินเดียและเนปาลในปัจจุบันสามารถทำได้มานมนานแล้ว

และก็ยังเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดด้วย  อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาที่ว่า "ถ้าเราทำให้ปู่ตายโดยบังเอิญ เราจะได้เกิดหรือไม่"....



ระลึกชาติแบบฟิสิกส์ใหม่[02]

ในบทความ “ระลึกชาติแบบฟิสิกส์ใหม่[01]  ผมได้กล่าวไปแล้วว่า การระลึกชาตินั้นเป็นวิชชาสาม  สามารถทำได้จริง ตอนนี้นักฟิสิกส์เขามีความเชื่อว่า เขาสามารถจะเข้าไปในอดีตได้ด้วยกายเนื้อของเขา และสามารถเข้าไปพูดคุยกับคนในยุคนั้นๆ ได้ด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงในทางวิทยาศาสตร์นะครับ  ไม่ใช่เป็นเพราะในหนังฮอลลีวู้ด  หนังทำนองนี้ นำเอาทฤษฎีของนักฟิสิกส์ใหม่มาต่อเติมให้เป็นหนัง

ต่อไปจะกล่าวถึง ประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับองค์ความรู้เรื่องการย้อนเวลาเข้าไปในอดีตของนักฟิสิกส์ใหม่

ถ้าเราทำให้ปู่ตายโดยบังเอิญ เราจะได้เกิดหรือไม่

ข้อความที่ว่า "ถ้าเราทำให้ปู่ตายโดยบังเอิญ เราจะได้เกิดหรือไม่" เป็นข้อความที่เป็นประเด็นถกเถียงกันของนักฟิสิกส์ใหม่

เป็นปัญหา Paradox  ไม่รู้จะแปลเป็นภาษาไทยอย่างไรดี

นักฟิสิกส์ใหม่เขาตั้งธงคำถาม เพื่อการถกเถียงสร้างสรรค์กันว่า

ในกรณีที่เราสามารถเข้าไปในอดีตได้  และในกรณีใดๆ ก็ตาม  ไปทำให้ปู่ของตนเองตาย  มันก็จะเกิดข้อขัดแย้ง (Paradox) กับสภาพความเป็นจริงที่ว่า  ตนเองเกิดมาแล้ว มีตัวมีตนแล้ว  แต่ดันทะลึ่งไปเที่ยวในอดีต แล้วทำให้ปู่ตาย

เมื่อปู่ตาย พ่อก็จะเกิดมาไม่ได้ เมื่อพ่อไม่ได้เกิด  ตัวเราเองจะเกิดมาได้อย่างไร

ความคิดในย่อหน้าที่ผ่านมานั้น  ถ้าไม่คิดอะไรมาก อ่านเผินๆ ดูแล้ว น่าจะเป็นความคิดของคนที่สติแตกไปแล้ว ในมุมมองของคนหลายๆ คน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว  กลับเป็นความคิดของนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของโลกในปัจจุบัน ที่เห็นสอดคล้องกันด้วย  และมีเป็นจำนวนมากด้วย ไม่ใช่เพียงคนสองคน

มีนักข่าวไปสัมภาษณ์ ดร. มิชิโอะ คากุ ว่า "มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่คนเราจะสามารถเข้าไปในอดีตได้

เจ้าของคำถามนั้น หมายถึงว่า เข้าไปในอดีตได้ด้วยกายเนื้อ โดยใช้ยานพาหนะเข้าไป  ไม่ใช่ใช้วิธีระลึกชาติแบบศาสนาพุทธ

ดร. มิชิโอะ คากุ เป็นชาวญี่ปุ่น  เป็นนักฟิสิกส์ใหม่  เชี่ยวชาญมากในเรื่องกลศาสตร์ควอนตัม ทฤษฎีสตริง (String theory) 

จากคำถามดังกล่าว  ดร. มิชิโอะ คากุ ตอบว่า "ด้วยความรู้ของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน  ไม่สามารถบอกได้ว่า ความคิดเช่นนั้นผิด"  

อธิบายให้ง่ายๆ หน่อยก็ว่า  การเข้าไปในอดีตทั้งกายเนื้อนั้น  เป็นไปได้ ในมุมมองของนักฟิสิกส์ใหม่

จูเลียส ซีซาร์ต้องตายอีกแบบนับครั้งไม่ถ้วน

ประเด็นที่ว่า เราสามารถเข้าไปในอดีตได้ ด้วยกายเนื้อนี่  ถ้ามียานพาหนะที่มีความเร็วสูงๆ ใกล้กับความเร็วแสง และนักฟิสิกส์เห็นว่าเป็นไปได้  ซึ่งขณะนี้ก็มีนักฟิสิกส์ใหม่พยายามสร้างเครื่องที่ว่าอยู่นั้น 

นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน ยืนยันแบบหัวชนฝาเลยว่า "เป็นไปไม่ได้"

อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไม่มีข้อโต้แย้งอย่างเป็นวิชาการ  เพราะ องค์ความรู้ส่วนใหญ่ของตนเอง  ถูกฟิสิกส์ "อัด" ซะเดี้ยงไปหมดทุกอย่าง 

ก็เลยเถียงแบบข้างๆ คูๆ ว่า  "ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีคนต้องการดูบรูตัสแทงจูเลียส ซีซาร์ จูเลียส ซีซาร์ก็ต้องมาตายอีกหลายครั้งหลายหน ตามความต้องการของคนดู อย่างนั้นซิ"

จะเห็นว่า  ข้อโต้แย้งของนักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไม่ได้เป็นไปตามหลักวิชาการเลย

อันที่จริงก็น่าสงสารนักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเหมือนกัน เพราะ ไม่รู้ว่าจะเอาหลักวิชาการอันไหนไปโต้แย้ง  เนื่องจาก วิชาการของนักฟิสิกส์ใหม่มันก้าวหน้าไปกว่าวิชาการของนักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอนอย่างไม่เห็นหน้าเห็นหลัง

นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอน เชื่อว่า แสงเดินทางเป็นเส้นตรง  มันก็เป็นเช่นนั้นจริงเฉพาะในโลก แต่นักฟิสิกส์ใหม่ค้นพบว่า แสงในจักรวาลเดินทางเป็นเส้นโค้ง

นี่ก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนและหนักแน่นว่า ความจริงของวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอนมันแคบกว่าความจริงของฟิสิกส์ใหม่ 

นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอน เชื่อว่า เวลาของคนทุกคนนั้นคงที่  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  อันนี้ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่ง

นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอนเขารู้ว่า เวลาของโลกไม่เท่ากัน เพราะ นักวิทยาศาสตร์ชุดนี้เขากำหนดเส้นแบ่งเวลาเอง 

แต่เมื่อเวลาถูกกำหนดไปแล้ว เวลาจะคงที่ตลอดไป

นักฟิสิกส์ใหม่ค้นพบว่า เวลาของคนทุกคนและสิ่งทุกสิ่งเดินไม่ตรงกัน  ขึ้นอยู่กับความเร็วกับแรงโน้มถ่วง

ความรู้นี้ นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอนผิดโดยสิ้นเชิง แต่ก็สามารถยอมรับว่า “ถูก” ได้เหมือนกัน  เพราะ เวลาของทุกคนในโลก ขณะที่ดำเนินชีวิตกันตามปกตินั้น

มันแตกต่างกันอย่างวัดไม่ได้ ด้วยเครื่องมือของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน 

เราสามารถวัดได้คร่าวๆ แบบศาสนาพุทธ ดังนี้

ไอน์สไตน์เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพและผู้ที่บอกว่า เวลาของคนทุกคนเดินไม่เท่ากันนั้น ยืนยันได้ว่า ร่างกายของคนเราถือว่าเป็น “นาฬิกาชีวภาพ” อย่างหนึ่ง

ในทางฟิสิกส์ใหม่ ถ้าเราอยากมีอายุน้อยลง  เราก็ต้องลงทุนกันมากหน่อย คือ ต้องสร้างยานอวกาศของเราเองให้ได้  เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็ต้องเดินทางด้วยความเร็วใกล้ๆ แสง 

อายุเราก็จะน้อยลง  แต่ก็ต้องแลกด้วย เงินและแรงจำนวนมาก

ในทางพุทธเรา ถ้าอยากอายุน้อยกว่าคนอื่น เราต้อง “หยุด”  นี้ตรงกันข้ามกับฟิสิกส์ใหม่เลยทีเดียว 

ฟิสิกส์ต้องเคลื่อนที่ให้เร็วใกล้ความเร็วแสง  ศาสนาพุทธต้อง “หยุด” หยุดได้มากเท่าไหร่ อายุเราก็น้อยลงมากเท่านั้น

สังเกตได้จาก “ผู้ที่ปฏิบัติธรรม” มากๆ 

พระธิเบตอายุประมาณ 60-70 ปี  ถูกนักวิทยาศาสตร์จับตรวจร่างกาย ปอด ไต ไส้ พุง  อย่าไปคิดเปรียบเทียบกันศรีธนญไชยผ่าท้องน้องชาย นักวิทยาศาสตร์เขามีเครื่องมือของเขา

ปรากฏว่า ร่างกายของพระธิเบตมีอายุประมาณ 40 ปีเท่านั้น

เป็นเพราะเหตุใด?

นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่นักฟิสิกส์เขาพบว่า “ออกซิเจน” มันเป็น “ตัวการ” สำคัญที่ทำให้เกิดอายุ (aging)

ท่านผู้ใดบริโภคออกซิเจนมาก ก็แก่เร็ว  ท่านผู้ใดบริโภคออกซิเจนน้อยก็แก่ช้า

เต่าถึงอายุยืนเป็นพันปี เพราะ หัวใจเต้นช้ามาก  หัวใจเต้นช้าก็คือ การบริโภคออกซิเจนน้อย

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมนั้น ในช่วงปฏิบัติธรรมอยู่ บริโภคออกซิเจนน้อยมาก  จึงทำให้แก่ช้า

ก่อนจบบทความนี้ ขอเล่าประสบการณ์ของตัวเองนิดหนึ่ง เพื่อเป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ

ยุงมันกินเลือดเราได้ เพราะ มันตามคาร์บอนไดออกไซด์  หลายๆ ครั้งเมื่อนั่งสมาธิไปนานๆ ลมหายใจเราก็เบาลงๆ จนเหมือนกับไม่หายใจ ลมหายใจมันไหลเข้าออกเอง เพราะ หัวใจเต้นน้อยลง

ไอ้ยุงมันตามหาคาร์บอนไดออกไซด์ของมัน  ออกซิเจนออกน้อยลง คาร์บอนไดออกไซด์มันก็ออกน้อยลงด้วย
พี่ยุงท่านบินเข้าจมูกเลยครับ  สำลักเลย...บ่อยครั้งมากที่เป็นอย่างนี้

ว่าจะเขียนเรื่อง การระลึกชาติของฟิสิกส์ใหม่  กลับมาจบเรื่องยุงได้อย่างไรก็ไม่รู้............