เมื่อผมลงบทความนี้ไว้ที่ gotoknow มีคนเข้ามาให้ความเห็น ดังนี้
คนแรกคือคุณ เจมส์ [IP: 125.26.114.224] 22 พฤษภาคม 2552 14:11 ได้มาให้ความเห็น ดังนี้
ตามหลักฟิสิกส์ใหม่ เราสามารถย้อนอดีตได้ด้วยกายละเอียดหรือจิตของเรา เพียงแต่เราทำให้จิตเราสงบโดยการนั่งสมาธิก็จะทำให้พลังงานของจิตลดลง
ซึ่งตามหลักทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอสไตน์ พลังงานสามารถสามารถเปลี่ยนเป็นมวลและมวลสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงาน
เมื่อพลังงานลดลงมวลก็ลดลง แสดงว่าจิตเราเริ่มไม่ยึดติดกับวัตถุ ทำให้เราเริ่มย้อนอดีตได้ตามทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษของไอสไตน์
นั่นคือจิตเราเร็วกว่าแสงสามารถฝ่ามิติกำแพงเวลาในตอนก่อนเกิดได้ทำให้เรา ระลึกชาติได้ จากการฝึกจิต
ผมได้ตอบคำถามของคุณเจมส์ไป ดังนี้ (24 พฤษภาคม 2552 22:27)
คุณเจมส์
ในทางศาสนาพุทธ การเอากายละเอียดเข้าไปในอดีต เราไปดูไปศึกษาเฉยๆ นะครับ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย แต่ ความเชื่อในทางฟิสิกส์นั้น นักฟิสิกส์ใหม่เชื่อว่า “เราสามารถเข้าไปในอดีตยุคนั้นๆ ได้จริงๆ” จึงมีคำกล่าวของนักฟิสิกส์ใหม่ว่า “ถ้าเราบังเอิญไปฆ่าปู่เราตาย เราจะได้เกิดหรือไม่”
จะเห็นว่า ความเชื่อของนักฟิสิกส์ใหม่กับความเชื่อของศาสนาพุทธนั้น ขัดกัน ในทางพุทธศาสนา อดีตเราสามารถรับรู้ได้เหมือนดูหนัง
ในทางวิชาการ เราจึงไม่สามารถนำ 2 องค์ความรู้ดังกล่าวมาบูรณาการกันได้
คนต่อมาคือ คุณเพจ [IP: 118.173.0.18] 19 กันยายน 2552 13:22 เข้ามาแบบแปลกๆ ดังนี้
1.ทำหลังเที่ยงคืนเท่านั้น
2.จุดธูปไว้หัวนอน3ดอก
3.นอนหลับตาแล้วตั้งสมาธิให้ดี
4.นึกถึงที่ๆเราจะไปเปนอันดับแรก
5.กลั้นหายใจ10วินาที
6.จาดนั้นคุณก้อจะไปในที่ที่คุณต้องการ
7.เมื่อคุณรูสึกว่ากลิ่นธูปเริ่มหายไปให้มองหาแสงสีขาวแล้วเดินเข้าไป
8.ถ้าคุณกลับไปไม่ทันคุณจะกลับไปไม่ได้อีกเลย
9.ถ้าทำเกิน2ครั้งอายุของคุณจะสั้นครั้งละไป99วัน
ใครที่อ่านแล้วคิดดูให้ดีน่ะถ้าอยากจะสนุกก้อต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนและนั่นก้อหมายถึงชีวิตของคุณเองนั้นแหละได้มาจากคัมภีย์เขมรโบราณ
คำเตือน ผู้ใดที่อ่านแล้วต้องนำไปโพสต่ออีก 5 ครั้งไม่งั้นอีก 7 วันต่อไปคุณจะมีอันเป็น ไปมีเรื่องของการถอดวิญญาณเพื่อออกจากร่างและคุณจะไปได้ทุกที่ๆ ต้องการ
ขอโทษนะ คือเราไปอ่านกระทู้มา เจอแล้วกลัวอ่ะ
ตอนนี้ ผมคงยังอารมณ์ดีอยู่ คนมีความเชื่อแบบนี้ มาอ่านบทความของผมได้อย่างไร ผมก็ตอบไป ดังนี้ (20 กันยายน 2552 10:09)
สำหรับคุณเพจ
ถ้าจะมีคนไหนก็ตามอ่านจดหมายลูกโซ่แล้วไม่ทำตาม ก็คงจะมีคนตายไปแล้วเป็นล้านๆ คน รวมถึงตัวผมด้วย
ที่คุณไปนำมาจากคัมภีร์เขมรโบราณนั้น ผมไม่กล้ายืนยันว่า มันจะเป็นจริงหรือไม่ เนื่องจากผมเชื่อตามทฤษฎีของคาร์ล ปอปเปอร์ที่ว่า "ความรู้ใดๆ ก็แล้วแต่ ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าผิด ก็ต้องยอมรับไว้ก่อนว่า อาจจะเป็นความจริงก็ได้"
แต่พูดในหลักวิชาการเช่นเดียวกัน ตามพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าของเราเป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดในจักรวาลธาตุ จักรวาลธรรมอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่เห็นจะต้องไปนำความเชื่อจากคัมภีร์ใดๆ ที่ยอมรับไม่ได้ในทางวิชาการมาศึกษาอีก
ศึกษาเพียงพระไตรปิฎกของเราก็น่าจะพอแล้ว ขนาดพระไตรปิฎกชุดเดียวกัน ยังเถียงกันไม่จบอยู่แล้ว
คนต่อมา แกน่าจะทำฝนเทียมได้ คือ คุณคนเคลื่อนเมฆ [IP: 69.15.164.50] 22 ตุลาคม 2553 22:41 ได้เข้ามาแปลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดังนี้
ผมผ่านเข้ามาอ่านบทความของท่าน อ่านแล้วต้องขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
1. การระลึกชาติไม่ใช่องค์ความรู้ที่สำคัญของพระพุทธศาสนา เพราะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในการบรรลุมรรค ผล นิพพาน และวิชชาทั้งสอง ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอาสาวักขยญาณ ผู้ที่จะบรรลุมรรคผล ไม่จำเป็นต้องได้วิชชาทั้งสองก่อน และวิชชาทั้งสองนั้นเป็นอภิญญาญาณ
พระอรหันต์ที่เป็นแบบสุขวิปัสโก ซึ่งท่านจะบรรลุมรรคผล โดยไม่ได้อภิญญาญาณใดเลยก็ได้ ให้ศึกษาประวัติพระอรหันต์ในพุทธกาล ที่ฟังและพิจารณาธรรมตามคำสอนพระพุทธองค์แล้วบรรลุมรรคผล
และแม้พระอรหันต์ในปัจจุบันก็ไม่ได้เน้นสอนเรื่องของการระลึกชาติ เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับการบรรลุมรรคผล นิพพาน และพระอรหันต์บางรูปที่ท่านระลึกชาติได้ ท่านก็เพียงแต่พูดถึงอดีตชาติ หรือ การเวียนว่ายตายเกิดว่า เป็นความจริงอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ และคนฟังถึงแม้ระลึกชาติไม่ได้ พิจารณาทุกข์ สมุทัย และทำมรรคให้พร้อมแล้ว ก็บรรลุมรรค ผล นิพพานได้
2. พระปัญญาที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์ไม่ได้เกิดจากการรู้ การเห็นวิชชา ทั้งสองนี้ เป็นพระปัญญาที่ทรงรู้ ทรงเห็นทุกข์ ในชาติที่ทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั่นแหละครับ
และทรงพิจารณาอยู่ก่อนแล้ว ถ้าจะวิเคราะห์เอาเรื่องอภิญญาญาณทั้งสองวิชชามาเกี่ยวกับพระพุทธองค์นั้น ก็อาจเป็นเพียงคุณลักษณะพิเศษของการเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะต้องมีความรู้เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ จึงทำให้มีพร้อมทั้งอภิญญาญาณ และความรู้ ความเห็นในวิชชาทั้งสองนั้น ก็เป็นเพียงหลักฐานยืนยันเรื่องของการเวียนว่าย ตาย เกิด แต่ถ้าขาดซึ่งปัญญาแล้ว อภิญญาความรู้นี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะความรู้นี้ในศาสนาอื่นก็อาจมีได้
3. เหตุที่คนไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจจะเพราะเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก และครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติก็ไม่ได้เน้นความสำคัญของวิชชาทั้งสองนี้ ก็เพราะเหตุผลตามข้อ 1 และข้อ 2 (เรื่องการระลึกชาติ และอาสาวักขยญาณ ให้ลองเข้าไปศึกษาในหนังสือ จุดประกายแห่งปัญญา http://kpyusa.org/?page_id=71)
4. จากความเห็นที่ว่า "เราสามารถเข้าไปในอดีตได้ด้วยการปฏิบัติธรรม โดยจะมีลักษณะคล้ายๆ กับการดูภาพยนตร์ เราไม่มีทางที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วได้" นั้น ผมคงตอบตามความเชื่อว่า เราคงนั่ง "ดู" อดีตได้เท่านั้น ไม่ใช่เอาตัวหรือจิตเข้าไป "ในอดีต"
การดูอดีตก็เหมือนเช่นที่เรานั่งดูหนังหรือเหตุการณ์ในอดีตถูกบันทึกไว้ในฟิลม์ หรือในรูปดิจิตอล เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตได้ ไม่ใช่ถอยหลังเข้าไปอยู่ในอดีต ทำเหมือนว่า ที่เราอยู่ปัจจุบันเป็นมิติหนึ่ง และเหตุการณ์ในอดีตเป็นอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้น และมีอยู่พร้อม ๆ กัน
และการระลึกชาติของพระพุทธองค์นั้น เราก็ไม่รู้ว่า พระองค์ดูเหตุการณ์เหล่านี้จากที่ไหน เรื่องอดีตชาติของพระองค์หรือตัวเราเอง อาจจะดูได้จากจิตของเราที่บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เอาไว้เอง แต่การระลึกชาติเรื่องของคนอื่นอาจจะต้องดูจากที่อื่น อาจจะมีฐานข้อมูลนี้อยู่ในธรรมชาติ แต่ขึ้นอยู่กับปัญญาบารมีของแต่ละคน ว่าใครจะสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้
เหมือนอย่างที่ทุกวันนี้ อินเตอร์เน็ตเป็นฐานความรู้ที่สำคัญของโลก ย่อมขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความรู้ ความสามารถของคนใช้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นแนวคิดที่จะสร้างยานเจาะเวลาหาอดีต และคิดจะไปเปลี่ยนอดีตนั้น ก็คิดเอาเองว่า มันสมเหตุ สมผลหรือเปล่า
คุณคนเคลื่อนเมฆเขียนไว้หลายเดือนกว่าผมจะเข้าไปพบ และตอบไว้ดังนี้ (08 มิถุนายน 2554 06:31)
เรียน คุณคนเคลื่อนเมฆ [IP: 69.15.164.50]
1) คุณคนเคลื่อนเมฆ คุณจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรือไง พระพุทธองค์ทรงสอนว่า พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะวิชาสาม
คุณไปเชื่อพระพม่าที่มั่วๆ หาเรื่องใส่ตัว เราต้องยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดคำสอนของพระที่ไปเชื่อ "สิ่งอื่น" มากกว่าพระไตรปิฎก
2) มั่วแล้วคุณ
3) พระพม่าไม่ได้ให้ความสนใจในวิชานี้ จึงทำให้ประชาชนพม่าไม่ได้รับความรู้ที่ถูกต้องไปด้วย
ผมไม่รู้เหตุผลว่า พระพม่าทำไมคลั่งไคล้เฉพาะ "สติปัฏฐานสูตร" คิดว่าปฏิบัติธรรมแค่พิจารณาอิริยาบถใหญ่กับอิริยาบถย่อยก็ทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้ และเชื่อว่า บรรลุได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เสียด้วย
พระพม่าสอนอย่างนั้นมาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้ว ยังไม่เห็นมีใคร "ใกล้" ความเป็นอริยบุคคลแม้แต่คนเดียว พวกสาวกพระพม่าก็เชื่อตาม แบบปราศจากปัญญา พระโชดก พระมหาสีสะยาดอว์ ไม่ได้ไปสุคติภูมินะคุณ
อยากจะตามไปอยู่ด้วยกันหรือไง
สำหรับข้อเสนอที่คุณเสนอให้ไปอ่านที่ใดๆ ผมไม่รับหรอก ผมเก่งพอสมควรแล้ว อ่านมาพอสมควรแล้ว
4) ผมว่าคุณไปอ่านข้อเขียนผมใหม่อีกสัก 20 ครั้ง แล้วมาให้ความเห็นใหม่ดีกว่า
ตั้งแต่นั้นมา คุณคนเคลื่อนเมฆก็หายไปกับเมฆก้อนนั้น มิกลับมาอีกเลย......